Entrepreneurship

Conversion Rate คืออะไร ใช้พัฒนาแผนธุรกิจได้อย่างไร

อัตราการเปลี่ยนไม่ใช่แค่ตัวเลข มันคือข้อมูลเชิงลึกที่สามารถช่วยให้คุณปรับปรุงกลยุทธ์การขายและการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

0 mins
Oct 23, 2024
Conversion Rate คืออะไร ใช้พัฒนาแผนธุรกิจได้อย่างไร

การวัด Conversion เป็นกระบวนการสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของการตลาดและการขาย ซึ่งช่วยให้คุณเห็นว่ากลยุทธ์ที่ใช้สามารถเปลี่ยนผู้สนใจ (Leads) ให้กลายเป็นลูกค้าจริงได้มากน้อยเพียงใด รวมถึงการขยายธุรกิจ การเริ่มต้นวัดผลอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามาดูกันว่าขั้นตอนในการเริ่มวัด Conversion นั้นต้องทำอย่างไรบ้าง

การคำนวณ Conversion Rate นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่คำถามคือเรามีความเข้าใจตัวเลขนี้มากเพียงพอหรือไม่ เพราะการเข้าใจว่า Conversion Rate คืออะไร สำหรับธุรกิจทุกธุรกิจ โดยเฉพาะ B2B ที่กระบวนการขายเป็นส่วนสำคัญ การดูแค่ตัวเลขอาจไม่เพียงพอ ถ้าเรามีความเข้าใจในองค์ประกอบ จะทำให้ธุรกิจสามารถพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพในกิจกรรมการตลาดและการขายได้อย่างเต็มศักยภาพ

Conversion คืออะไร และคำนวณอย่างไร?

Conversion ในบริบทของการขายและการตลาด หมายถึง การที่ลูกค้าเป้าหมายดำเนินการตามที่เราต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียน หรือการติดต่อเราเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

Conversion Rate คือ สัดส่วนของลูกค้าเป้าหมายที่เปลี่ยนมาเป็นลูกค้าจริง โดยสามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ด้วยสูตร:

Conversion Rate = (Conversion Rate = Users/Customers that Complete Action/Total Leads x 100%)

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีลูกค้าเป้าหมาย 100 คน และสามารถปิดการขายได้ 10 โครงการ อัตราการเปลี่ยนของคุณคือ 10% ซึ่งหมายความว่า 10% ของลูกค้าเป้าหมายทั้งหมดกลายมาเป็นลูกค้าจริงของคุณ

เริ่มวัด Conversion ต้องทำอะไรบ้าง?

1. กำหนดเป้าหมายของ Conversion ที่ต้องการวัด

ก่อนที่จะเริ่มวัดผล คุณต้องชัดเจนว่าคุณต้องการวัด Conversion ประเภทใด ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามลักษณะธุรกิจ เช่น:

  • สำหรับธุรกิจ E-commerce: การซื้อสินค้าสำเร็จ, การสมัครรับจดหมายข่าว (Newsletter)
  • สำหรับธุรกิจ B2B: การกรอกแบบฟอร์มเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม, การนัดหมายการประชุม, การลงทะเบียนทดลองใช้งาน (Free Trial)

Tips: ระบุเป้าหมายของคุณให้ชัดเจนและกำหนดว่าอะไรคือการกระทำที่ถือว่าเป็น "Conversion" สำหรับธุรกิจของคุณ

2. เลือกเครื่องมือวัด Conversion ที่เหมาะสม

การเลือกเครื่องมือวัดผลที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณติดตาม Conversion ได้อย่างแม่นยำ เครื่องมือยอดนิยมที่ใช้ในการวัด Conversion มีดังนี้:

  • Google Analytics: ช่วยติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณและวัด Conversion จากแหล่งที่มาหลากหลาย เช่น โฆษณา การค้นหาธรรมชาติ หรือโซเชียลมีเดีย
  • Facebook Ads Manager: เหมาะสำหรับการวัดผลแคมเปญโฆษณาบน Facebook โดยสามารถติดตาม Conversion เช่น การคลิกลิงก์ การกรอกแบบฟอร์ม และการซื้อสินค้า
  • CRM Systems (ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์): เหมาะสำหรับธุรกิจ B2B ในการติดตาม Conversion จากลูกค้าเป้าหมายที่เข้ามาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การกรอกฟอร์มออนไลน์ การโทรศัพท์ หรือการส่งอีเมล

3. ตั้งค่า Conversion Tracking บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ

เมื่อเลือกเครื่องมือแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตั้งค่า Conversion Tracking เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลการกระทำของผู้ใช้ได้อย่างถูกต้อง เช่น:

  • ติดตั้ง Google Analytics Tag: ติดตั้งโค้ดติดตาม (Tracking Code) บนเว็บไซต์ของคุณ และตั้งค่า Goals เพื่อระบุการกระทำที่ถือเป็น Conversion เช่น การคลิกปุ่มหรือการส่งแบบฟอร์ม
  • ตั้งค่าติดตาม Conversion บน Facebook: ใช้ Facebook Pixel เพื่อวัดการกระทำต่าง ๆ บนเว็บไซต์ เช่น การเพิ่มสินค้าลงในรถเข็นหรือการทำการซื้อสินค้า

4. กำหนดช่วงเวลาในการวัดผล

การวัดผล Conversion ควรพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมกับวัฏจักรการขายของคุณ เช่น:

  • ธุรกิจ B2C: อาจวัดผลเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้ซื้อในระยะสั้น
  • ธุรกิจ B2B: อาจวัดผลเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาสเนื่องจากวัฏจักรการขายที่ยาวนานขึ้น

Tips: การวัดผลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณเห็นแนวโน้มและปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที

5. วิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงกลยุทธ์

เมื่อคุณเริ่มเก็บข้อมูลการวัด Conversion แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของคุณ:

  • ระบุช่องทางที่มี Conversion สูงสุด: เช่น การค้นหาผ่าน Google หรือโฆษณาบน Facebook เพื่อเน้นการลงทุนในช่องทางเหล่านี้
  • ปรับเปลี่ยนเนื้อหาและข้อเสนอ: หาก Conversion ต่ำ อาจลองปรับแต่งเนื้อหาหรือข้อเสนอให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
  • ทดลอง A/B Testing: ลองทดสอบการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ เช่น การเปลี่ยนข้อความบนปุ่มหรือตำแหน่งการวางแบบฟอร์ม เพื่อดูว่ามีผลต่ออัตราการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ที่มาของภาพและข้อมูล: belkins.io (2024)